วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความตื่นเต้นได้ก่อตัวขึ้นเมื่อรู้ข่าวว่าสโมสรลิเวอร์พูลกำลังจะเปิดตัวเสื้อฟุตบอลเหย้าสำหรับฤดูกาล 2013-14 เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นเสื้อเหย้าตัวที่สองของแบรนด์ ‘วอร์ริเออร์’ (Warrior) พร้อมทั้งลุ้นว่าจะออกมาเป็นเช่นไร
newkit
เพราะจากที่สโมสรเคยออกเสื้อเหย้าแบบปีเว้นปี กลับมาเป็นออกทุกปี ซึ่งทำให้ความคาดหวังยิ่งมีมากขึ้น ว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา วอร์ริเออร์ได้เรียนรู้อะไรจากโลกฟุตบอลบ้าง รวมทั้งเสื้อเหย้าตัวใหม่จะถูกออกแบบมาอย่างไร เพื่อตอบสนองความรู้สึกของแฟนบอลที่ต้องซื้อบ่อยขึ้น
โดยส่วนตัว ผมชอบเสื้อเหย้าปีที่แล้วมากในด้านคอนเซ็บต์ของการออกแบบ และการเลือกชนิดของผ้าที่ดูดึงดูด รวมทั้งการแฝงความใส่ใจในสภาพแวดล้อมตามเทรนด์แบบ s’café แม้ว่ารายละเอียดในการตัดเย็บและเทคโนโลยีจะต่างจากเจ้าตลาดอย่าง อดิดาสหรือไนกี้ แต่เมื่อดูในภาพรวม ถือว่าสู้ได้ เพราะการตีความหมายของประวัติศาสตร์ให้ออกมา ‘ดูใหม่ ใส่สวย และภาคภูมิใจ’ พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการออกแบบ ทำให้ตามปกติที่จะรอซื้อตอนลดราคา ถึงขั้นเงินหลุดได้ เพราะรู้สึกว่าสวยน่าใส่เป็นที่สุด

แนวคิดเบื้องต้น สี และ ดีไซน์
เสื้อเหย้าปีนี้ยังคงเน้นแนวคิด Modern Tradition นั่นคือการตีความประวัติศาสตร์ให้ดูใหม่ขึ้นเหมือนปีที่แล้ว โดยปีนี้ เจาะจงไปใช้คุณลักษณะ (Character) ของเสื้อเหย้าปี 1984 มากกว่าจะรวมคุณลักษณะต่างๆของหลายๆปีเข้าด้วยกันเหมือนเสื้อเหย้าปีที่แล้ว ในภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า Character ที่แปลว่า คุณลักษณะ แต่ คำว่า Character ยังมีอีกความหมายก็คือ บุคลิก ดังนั้นการออกแบบปีนี้ก็คือ อยากจะถ่ายทอด บุคลิก ของทีมที่ประสบความสำเร็จในปี 1984 ออกมาให้กับทีมนักเตะชุดปัจจุบัน ซึ่งก็คือ Modern Tradition ในมุมนี้ผมถือว่านับว่าเป็นการพัฒนาดีที่ขึ้นในการออกแบบและตีความ
แม้เสื้อเหย้าในปีนี้ยังคงรักษาไว้ซึ่ง สีแดง เฉดเดิมเดียวกับเสื้อปีที่แล้ว ที่เข้มกว่าเสื้อเหย้าในปี 1984 แต่ลายสีแดงเข้มด้านหน้า กับรอยขลิบสีขาวที่คอและแขนเสื้อทำให้รับรู้ถึงแบบในปี 1984 ที่ถูกถ่ายทอดมา ส่วนคอที่เคยเป็นปัญหาในปี 1984 และทำให้ดูอึดอัด ถูกตีความใหม่และทำให้ใส่สบายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
Ian Rush

เนื้อผ้า
ผมขอเริ่มจากเนื้อผ้าที่เป็นจุดที่น่าตื่นเต้นในเสื้อปีที่แล้ว เพราะเสื้อเหย้าปีที่แล้วใช้ ใยผ้า S’café ที่รีไซเคิลมาจาก เมล็ดกาแฟ 16% มาผสมกับ Polyester ภายใต้เทคโนโลยี War-tech@fabric ของ Warrior เพื่อเข้าชนกับผ้ารีไซเคิลจาก พลาสติกของ Nike แต่ปีนี้หันกลับมาใช้ polyester 100% ในเทคโนโลยีเดิม War-tech@fabric เท่านั้น
War-tech@fabric คืออะไร?
War-tech@fabric เป็นเทคโนโลยีเนื้อผ้าภายใต้แบรนด์ Warrior ที่มีคุณสมบัติ แห้งเร็วและรักษาระดับความชื้นที่เหมาะสมให้กับผิวผู้ใส่ เพื่อความสบายตัว
แม้โดยส่วนตัวจะรู้สึกเหมือนเด็กที่ขาดความตื่นเต้น  เพราะเราไม่ใช้ใยผ้าที่รีไซเคิลเมล็ดกาแฟแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าจะมาเน้นย้ำความเด่นของเทคโนโลยี War-tech แทน ซึ่งหมายถึง “ความสบายตัว” ของผู้ใส่
เอาจริงต้องขอสารภาพว่า ความเห็นส่วนตัวคิดว่าเป็นเพราะเรื่องของราคาต้นทุน สังเกตจากเสื้อเหย้าปีที่แล้ว แม้จะใช้ ใยผ้า S’café แต่ใช้ไม่เยอะ คาดว่าน่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ราคาสูงและให้ความรู้สึกไม่แตกต่างกับ 100% polyester เท่าไหร่นัก อีกทั้งเทคโนโลยี War-tech@fabric ก็ดีพอสำหรับการสร้างความสบายให้กับผู้ใส่
อีกเนื้อผ้าที่เราควรจะรู้จักในเสื้อตัวนี้ก็คือ โฟร์เวย์ สเตร็ช เมช (Four-way stretch mesh) เป็นเนื้อผ้าที่ทอเป็นตาข่ายยืดหยุ่น เพื่อที่จะรองรับการเคลื่อนไหวได้หลากหลาย และยังออกแบบเพื่อให้อากาศผ่านได้ง่ายและระบายอากาศได้ง่ายด้วย เนื้อผ้านี้ warrior ใช้กับชุดเหย้าในปี 2012-2013 ในส่วนใต้วงแขน เนื่องจากส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะเกิดความร้อนสูงมากระหว่างเกมการแข่งขัน
kit_mapคราวนี้เรามาดูการใช้เนื้อผ้าสองอย่างนี้บนเสื้อกันครับ หากแบ่งเสื้อตามชิ้นต่างๆก่อนมาเย็บติดกัน จะได้ชิ้นต่างๆดังนี้
  1. Body (ชั้นในด้านหน้าสีขาวที่สัมผัสตรงกับผู้ใส่) – เนื้อผ้า Polyester 100%
  2. Panel หน้า – ตัวผ้าด้านนอกด้านหน้าเสื่อใช้เนื้อผ้า Polyester 100% บวกกับ การตกแต่งลวดลายเพิ่มเติมบนเนื้อผ้าที่ดูคล้ายไนล่อน (nylon-look) ใส่ลาย สีเข้ม และลายนกไลเวอร์ เพื่อให้ดูเหมือนเสื้อปี 1984
  3. Panel หลัง – ผ้าด้านหลังใช้ Four-way stretch mesh แทนผ้าปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นในเสื้อบอลทั่วไป เพราะโดยปกติเนื้อผ้าประเภทตาข่ายระบายความร้อนนี้ มักจะราคาแพงและไม่แข็งแรงพอที่จะมาอยู่ในตำแหน่งที่พื้นที่สัมผัสเยอะขนาดนี้ แต่ Four-way stretch mesh นี้ดูแข็งแรงพอ และสำหรับผม ส่วนนี้ พอจะสร้างความตื่นเต้นให้กับผม ใกล้เคียงกับการใช้ ใยผ้า S’café ในปีก่อนได้เลยทีเดียว
  4. ใต้วงแขน – ใช้ Four-way stretch mesh เหมือนเดิม
  5. หัวไหล่และแขน – เนื้อผ้า Polyester 100% สีแดงปกติ
ในความเห็นส่วนตัว การเลือกและการจัดการเนื้อผ้าปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะออกแบบเพื่อความสบายของนักเตะมากกว่าเพื่อเอาใจแฟนบอลเช่นปีที่แล้ว
homekit_fabric
ทรงเสื้อ
ทรงเสื้อปีนี้ถือว่าเป็นทรงเสื้อที่ทำร้ายจิตใจคนอ้วนอย่างผมเหลือเกิน  เพราะเป็นทรงที่เข้ารูปมากกว่าปีที่แล้ว และความยืดหยุ่นของผ้าด้านหน้าต่ำมาก ทำให้ผมต้องใส่เสื้อใหญ่ขึ้นอีก 1 เบอร์ ต่างกับปีที่แล้วที่ คนอ้วนอย่างผมใส่ได้สบายๆและดูผอมได้แบบเนียนๆ
การตัดเย็บ
ตะเข็บที่ใช้ในเสื้อเหย้าชุดนี้มีสองประเภท คือ 1. รอยเย็บแบนยื่น (Trimming) 2. ตะเข็บกลมแบนติดเสื้อ (Piping details) ในขณะที่ เสื้อเหย้าปีก่อนมีการใช้เทคนิค  รอยเย็บผสมโพลีเมอร์ยืดเพื่อความยืดหยุ่นที่ทำให้ผมแทบแอบกรี๊ดออกมา ด้วยเพราะไม่เคยเห็นของแบรนด์ไหนทำ แต่หากจะเรียกร้องให้ Warrior ใส่มาเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในเสื้อตัวนี้คงจะเป็นอะไรที่เกินไป ก็เขาใส่ 4-way Meshที่แสนยืดหยุนไปทั้งแผ่นหลังแล้ว!
สำหรับการตัดเย็บในปีนี้ ถ้าถามถึงความเนี้ยบถือว่ารักษามาตรฐานได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการตัดเย็บหรือทำตะเข็บ และที่ดูดีคือ การทำแขนที่ดูเนี้ยบและสวยขึ้นมาก แต่หากมองในแง่เทคโนโลยี ผมถือว่าน่าผิดหวัง สิ่งที่ผมหวังจะเห็นการพัฒนาที่มากขึ้นของ Warrior ก็คือการจัดการกับตะเข็บต่างๆ เพราะถ้าเทียบกับ อดิดาส และ ไนกี้ ถือว่า เทคโนโลยีของ Warrior ยังห่างไกลจากสอง แบรนด์หลักในโลก
ตะเข็บแบบยื่น (Trimming) ที่เป็นปัญหาในปีก่อนก็ยังคงตามมาไม่ว่าจะเป็นด้านข้างลำตัว (ซึ่งอภัยให้ได้ เพราะหลายแบรนด์ ก็ยากที่จะทำตรงจุดนี้ให้เป็น ตะเข็บแบบกลมแบน (Piping) แต่ที่ไม่น่าอภัยให้คือตรงส่วนคอ และแขนที่ทำเป็นตะเข็บแบบยื่น ซึ่งทำให้ผู้ใส่เกิดความรำคาญและระคายเคืองได้ หากเทียบกับเสื้อฟุตบอลแบรนด์อื่น จุดนี้ ถือว่าเป็นจุดที่ปีหน้า Warrior ควรให้ความใส่ใจด้วยเช่นกัน
trimming
สรุป
เสื้อเหย้าปีนี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเสื้อปี 1984 เพื่อถ่ายทอด Character มายังทีมปัจจุบันเป็นแนวคิดแบบ Modern Tradition โดยเลือกออกแบบบนสีแดงเฉดเดียวกับปีที่แล้ว ซึ่งก็คือ เฉดเดียวกับที่ บิล แชงคลีย์ เลือกใช้ใน ฤดูกาล 1964-1965 ซึ่งมีความเชื่อกว่า ไฮ-ริสก์ เรด (High-risk red: แดงแบบความเสี่ยงสูง) นี้จะทำให้นักเตะมีรูปร่างและมีจิตวิญญาณนักสู้สูงกว่านักเตะคู่แข่งและฤดูกาลนี้ ยังเป็นฤดูกาลที่ ทีม สโมสรลิเวอร์พูล คว้า แชมป์เอฟเอคัพ ได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย
การตีความและเลือกดึงลายขลิบขาวที่คอและแขนเสื้อของปี 1984 มาใส่ในปีนี้ถือว่าทำได้ดี แม้ส่วนตัวผมจะชอบ cotton-look ของเนื้อผ้าปีที่แล้วมากกว่า แต่ปีนี้เน้น nylon-look และเน้นเพื่อความสบายตัวของผู้ใส่เป็นหลัก โดยรวมถือว่า Warrior ได้ก้าวหน้าขึ้นอีกก้าวใหญ่ๆในฐานะคนผลิตเสื้อแข่งฟุตบอล แต่ช่องว่างระหว่าง warrior กับ อดิดาส และไนกี้ ก็ยังสูงอยู่ แต่ไม่นับว่าสูงมาก โดยเฉพาะหากรวมกับความตั้งใจที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากการออกแบบ ทำให้เชื่อว่า Warrior น่าจะก้าวเข้ามา และตามติด แบรนด์ชั้นนำในวงการนี้ได้ไม่ยากนัก

ซื้อไหม? ผมว่าเสื้อฟุตบอลตัวนี้มีความ “ว้าว” มากพอ แม้อาจจะไม่ดู คลาสสิก และใส่สวยเท่าเสื้อปีที่แล้ว แต่ ก็ไม่แพ้กันเท่าไหร่ แต่หากมองถึงความสบายใจการใส่และแนวทางที่ทำเพื่อนักเตะ ไม่ซื้อก็บ้าแล้ว…ว่าแล้วก็จัดมาแล้วครับ  : )





  • สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล
  • สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล เป็นสโมสรฟุตบอลที่เล่นในพรีเมียร์ลีก จากฮอลโลเวย์ ในลอนดอน เป็นสโมสรฟุตบอลที่ประสบ
    ความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งในฟุตบอลอังกฤษ ครองแชมป์ดิวิชัน 1 13 ครั้งและเอฟเอคัพ 10 สมัย อาร์เซนอลถือสถิติร่วม ...



  • ข่าวฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้มีการเปิดเผยเสื้อแข่งชุดเหย้าที่พวกเขาจะใช้สู้ศึกในฤดูกาล 2013-2014 ออกมาแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นสีแดงสด แต่ลายที่เคยมีนั้นหายไปและเพิ่มเติมปกคอขึ้นมาแทน 


    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้คลอดชุดเหย้าสำหรับฤดูกาล 2013/14 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งชุดดังกล่าวออกแบบโดยไนกี้ และ เอริค คันโตน่า อดีตตำนานของทีมที่เคยสร้างลุคสุดเท่ด้วยการดึงปกคอเสื้อขึ้นในช่วงยุคปี 90

    ชุดดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากชุดเดิมไปมากมาย จากปกติที่เป็นลายสก็อตในซีซันที่ผ่านมา กลายเป็นสีแดงเรียบพร้อมมีคอปกสีดำ แน่นอนว่าถุงเท้าที่เข้าคู่กันนั้นก็จะเป็นสีดำเช่นเดียวกันกับปกคอเสื้อ ขณะที่สีของกางเกงปีนี้ เปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาว โดยยังมีสีดำเป็นแถบอยู่บริเวณต้นขาอีกด้วย

    เสื้อชุดเหย้าของทีม "ปิศาจแดง" ชุดนี้ มีนิยามคำว่า "สะอาดและคลาสสิก" ซึ่งเสื้อจะมีคุณสมบัติพิเศษคือแนบเนื้อและสามารถรีดเหงื่อออกไปได้ไว ตามแบบฉบับ "ไดร์ฟิต" ของไนกี้ นอกจากนี้ยังมีกระดุมสองเม็ดอยู่บริเวณคอและแผงอก และอีก 1 เม็ดที่ด้านหลังบริเวณคอปกด้วย

    นายแบบของเสื้อดังกล่าวประกอบไปด้วย โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์, คริส สมอลลิ่ง และ เวย์น รูนี่ย์ ซึ่งการที่นักเตะรายหลังมาเป็นนายแบบของชุดทำให้มีการคาดการณ์กันว่าเขาอาจจะค้าแข้งในโรงละครแห่งความฝันต่อไปในฤดูกาลหน้า

    ทั้งนี้ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ออกแบบชุดเหย้าเป็นเสื้อคอวีสีดำ และแหวกแนวด้วยการเพิ่มลายเหมือนตารางหมากรุกเข้าไปบนตัวเสื้อสีแดง ซึ่งมีเสียงวิจารณ์ปะปนกันไปทั้งชอบและไม่ชอบ แต่กับชุดใหม่ที่เปิดตัวออกมานั้น ดูท่าว่ากระแสตอบรับจะเป็นไปด้วยดี เนื่องจากดูเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความสวยงามและคลาสสิกดีทีเดียว





    ดาวซัลโวทุกรายการ 


    เรามาดู นักฟุตบอลคนไหนในห้า ท็อปของลีกยุโรป คัย ยิงประตูได้กันยัง มาดูกัน...

     


    20 นักเตะดาวรุ่งที่อาจได้เห็นในพรีเมียร์ลีก

    ไปดูกันว่า 20 นักเตะดาวรุ่งของแต่ละทีมที่อาจได้เห็นในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้จากการคาดหมายของเว็บเมืองผู้ดีจะเป็นใครกันบ้าง

    หลังประกาศอย่างเป็นทางการไปแล้วสำหรับรายชื่อนักเตะทั้ง 25 คน ที่จะส่งลงเล่นในกฏใหม่ของพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2010-2011 และในจำนวนรายชื่อส่งนั้นจะต้องมีนักเตะโฮมโกรน์อย่างน้อย 8 คน ซึ่งรายชื่อทั้งหมดจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกครั้ง เมื่อตลาดซื้อ-ขายนักเตะรอบสองเปิดขึ้นอีกครั้ง

    แต่อย่างไรก็ตามกฏใหม่นี้นั้นอนุญาตให้ทั้ง 20 สโมสรสามารถใช้งานนักเตะที่อายุต่ำกว่า 21 ปีได้อย่างไม่จำกัดทั้งจำนวนและสัญชาติ ซึ่งในคอลัมน์วันนี้ลองมาดูกันว่ามีนักเตะคนใดของแต่ละทีมที่ถูกจัดว่าเข้าตา และมีสิทธิ์ลงสนามในฤดูกาลนี้


    อาร์เซนอล
    ฮาวาร์ด นอร์ดเวต (นอร์เวย์ )
    อายุ 20 ปี
    ตำแหน่ง : กองหลัง

    เซ็นเตอร์แบ๊กที่เล่นบอลง่ายๆ ย้ายเข้ามาอยู่ในถิ่น เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ด้วยค่าตัวราว 2 ล้านปอนด์ และก็ถูกปล่อยไปเก็บประสบการณ์ในสเปน,นอร์เวย์ และ เยอรมัน มาแล้ว ซึ่งเมื่อช่วงก่อนเปิดซีซั่นที่ผ่านมาก็ได้รับการจับตามองเช่นกัน

    แอสตัน วิลล่า
    เอริค ลิชาจ (สหรัฐอเมริกา)
    อายุ : 21 ปี
    ตำแหน่ง :กองหลัง

    เล่นได้ตลอดทั้งแนวแผงแบ๊กโฟร์ และก็ผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาแล้วในทีมสำรอง ที่ได้รับการทดสอบจาก เควิน แม็คโดนัลด์ และก็ได้ประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ไปแล้วในเกม ยูโรป้า คัพ รอบเพลย์ออฟ ที่บุกไปเยือน ราปิด เวียนนา

    เบอร์มิงแฮม
    นาธาน เรดมอนด์
    อายุ : 16 ปี
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์

    เป็นมิดฟิลด์ที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ที่ได้ลงเล่นให้ เบอร์มิงแฮม โดยมีอายุน้อยกว่า เทรเวอร์ ฟรานซิส เพียงแค่ 34 วัน หลังจากได้ประเดิมสนามในสีเสื้อ "ลูกโลก"ในเกมคาร์ลิ่ง คัพ ที่ชนะ รอชเดล ซึ่ง เรดมอนด์ มีลีลา การเล่นคล้ายๆ กับ แอชลี่ย์ ยัง และ อาร่อน เลนน่อน

    แบล็คเบิร์น
    จอช มอร์ริส
    อายุ : 18 ปี
    ตำแหน่ง : กองหลัง/มิดฟิลด์

    ถือว่าเป็นผลิตผลของถิ่น อีวู้ด ปาร์ค สำหรับเจ้าของเบอร์เสื้อ 33 โดยเล่นได้ตลอดทั้งฝั่งทางด้านซ้าย และก็มีโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในอนาคต โดยเฉพาะลูกเซตพีต ที่เป็นจุดขาย และก็สามารถทำประตูได้หลายๆ ครั้งจนเป็นที่กล่าวขานมาแล้ว

    แบล็คพูล
    มาร์ค ฮัลสเต็ด
    อายุ : 20 ปี
    ตำแหน่ง : ผู้รักษาประตู

    เป็นหนึ่งในปราการด่านสุดท้ายบนเกาะอังกฤษที่ได้รับการคาดหมายว่าจะมีอนาคตสดใส ถูกปล่อยตัวไปให้ ไฮด์ ทีมนอกลีก ยืมไปใช้งานเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา หลังจากที่ช่วงเกมปรีซีซั่นที่พบกับ เอฟเวอร์ตัน โชว์ฟอร์มได้ดี และน่าจะกดดัน แม็ตต์ กิลส์ เพื่อแย่งมือหนึ่งของทีมได้ด้วยเช่นกัน

    โบลตัน
    ทอม เอียเวส
    อายุ : 18 ปี
    ตำแหน่ง : ศูนย์หน้า

    หัวหอกเจ้าของส่วนสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว ฉายแววด้วยการกดแฮตทริก ใส่ โบลตัน ในเกมอุ่นเครื่อง และต่อจากนั้นอีก 2 สัปดาห์ โอเว่น คอยล์ ก็จัดการดึงตัว ทอม เอียเวส เข้ามาเป็นพลพรรค ด้วยการเซ็นสัญญาคว้ามาจาก โอดลด์แฮม เป็นเวลา 3 ปี

    เชลซี
    จอช แม็คอีชเรน
    อายุ : 17 ปี
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์

    เข้ามาอยู่ในถิ่นสแตนฟอร์ด บริดจ์ ตั้งแต่อายุเพียง 8 ปีเท่านั้น เป็นประเภทกองหลางที่ผ่านบอล และ เคลื่อนไหวหาที่ว่างได้เป็นอย่างดี แม็คอีชเรน เรียกว่ามีคุณสมบัติครบถ้วย และก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ เชลซี คว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา รวมไปถึงแชมป์ยูโร ของทีมชาติอังกฤษชุดยู-17


    ฟูแล่ม
    อเล็กซานเดอร์ คาคานิคลิช (สวีเดน)
    อายุ : 19 ปี
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์ริมเส้นฝั่งซ้าย

    เป็นนักเตะที่โยกข้ามมาจาก แอนฟิลด์ หลังเป็นส่วนหนึ่งในสัญญาซื้อขาย พอล คอนเชสกี้ ในช่วงวันสุดท้ายตลาดซื้อขาย คาคานิคลิช สอดแทรกขึ้นมาอยู่ในทีมสำรองของ ลิเวอร์พูล เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา และ ก็มีเท้าซ้ายที่เปิดได้อย่างแม่นยำ


    ลิเวอร์พูล
    ดาเนี่ยล ปาเชโก้ (สเปน)
    อายุ : 19 ปี
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์

    กองกลางตัวรุกซ้ายธรรมชาติ ถูกยกย่องในเรื่องสัมผัสบอลแรกและสายตาในการผ่านบอลที่เยี่ยม ถูกคว้าตัวเข้ามาในถิ่นแอนฟิลด์ ในยุคของ ราฟาเอล เบนิเตซ ขณะที่ รอย ฮอดจ์สัน นายใหญ่คนใหม่น่าจะเห็นแววในตัวของ ปาเชโก้ หลังจากต่อสัญญาอยู่กับทีมต่อไปอีก 3 ปี


    แมนฯ ซิตี้
    จอห์น กุยเด็ตติ (สวีเดน)
    อายุ : 18 ปี
    ตำแหน่ง : ศูนย์หน้า

    ระเบิดพรสวรรค์ ด้วยการตะบันไป 13 ประตู ในหลายๆ เกมระดับชุดยู-18 อีกทั้ง กุยเด็ตติ ยังทำแฮตทริกได้ทันทีในเกมประเดิมของทีมสำรองเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา

    แมนฯ ยูไนเต็ด
    คอร์รี่ อีแวนส์ (ไอร์แลนด์เหนือ)
    อายุ : 20 ปี
    ตำแหน่ง : กองหลัง/มิดฟิลด์

    เล่นได้ทั้งมิดฟิลด์ตัวกลาง และ เซ็นเตอร์แบ๊ก เช่นเดียวกับพี่ชาย จอนนี่ ซึ่ง คอร์รี่ ถือเป็นตัวหลักในทีมสำรองอย่างต่อเนื่อง แต่ในทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ ดาวเตะวัย 20 ปี ได้รับความไว้วางขึ้นไปเล่นชุดใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


    นิวคาสเซิล
    ฮาริส วูซคิซ (สโลวะเนีย)
    อายุ : 18 ปี
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์

    เป็นมิดฟิลด์ตัวรุกที่แข็งแรง แถมยังได้รับความสนใจจากทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และ เอซี มิลาน นอกจากนั้นยังสามารถถ่างไปเล่นริมเส้น หรือถูกดันขึ้นไปเป็นศูนย์หน้าได้อีกด้วย

    สโต๊ค
    แมทธิว ลุนด์
    อายุ : 19 ปี
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์

    ถือว่าเป็นผลิตผลชั้นดีที่เติบโตมาจาก ครูว์ ก่อนที่ สโต๊ค จะเห็นแววและคว้าตัวมาด้วยราคา 430,000 ปอนด์ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา เป็นมิดฟิลด์ตัวตัดเกมที่สามารถเล่นลูกกลางอากาศได้เป็นอย่างดี

    ซันเดอร์แลนด์
    แจ็ค โคลแบ็ค
    อายุ : 20 ปี
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์

    ถูกอิปสวิช ยืมไปใช้งานภายใต้การคุมทีมของ รอย คีน เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา และที่นั่น โคลแบ็ค ได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ "ม้าขาว"แม้ว่าจะประเดิมสนามกับ ซันเดอร์แลนด์ ในเดือนพฤษภาคมและโดนใบแดงไล่ออกทันที แต่กองกลางวัย 20 ปี ก็ได้โชว์ให้เห็นถึงทักษะการเข้าหาบอล

    สเปอร์ส
    แฮร์รี่ เคน
    อายุ : 17 ปี
    ตำแหน่ง : ศูนย์หน้า

    กองหน้าทีมชาติอังกฤษชุดยู-17 ที่ทำไป 18 ประตูในการเล่น 22 นัดให้กับ สเปอร์ส ชุดต่ำกว่า 18 ปี เมื่อฤดูกาลที่แล้ว และเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว เคน ก็กดไปอีก 5 ประตูในเกมทีมสำรองที่ สเปอร์ส ถล่ม คริสตัล พาเลซ 8-0


    เวสต์บรอมวิช
    แซม แมนตัน
    อายุ : 18 ปี
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์

    ถูกปล่อยให้ เอฟเอ เฮาก้าร์ จากไอซ์แลนด์ ยืมไประหว่างช่วงหน้าร้อน และ แมนตัน ก็ได้เรียนรู้ในเรื่องฟุตบอล ก่อนที่จะกลับมาประเดิมสนามในเกมคาร์ลิ่ง คัพ ที่พบกับ เลย์ตัน โอเรียนท์ และคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมประจำแม็ตช์ ไปครอง

    เวสต์แฮม
    คริสเตียน มอนตาโน่ (โคลอมเบีย)
    อายุ : 18 ปี
    ตำแหน่ง : ศูนย์หน้า

    ย้ายมาลอนดอนตั้งแต่เด็ก ก่อนจะเข้ามาอยู่ในทีมเวสต์แฮม ชุดต่ำกว่า 12 ปี ก่อนที่จะประสบความสำเร็จขึ้นมาเป็นลำดับขั้น ในฤดูกาลที่แล้วคว้าตำแหน่งดาวซัลโวในชุดอคาเดมี่ ก่อนที่จรดปากกาเซ็นขึ้นมาเล่นในชุดใหญ่ช่วงหน้าร้อน มีรูปแบบการเล่นคล้ายๆ กับ ฟาอุสติโน่ อัสปริลญ่า ดาวเตะรุ่นคุณน้า และก็หวังเช่นกันว่าจะได้รับใช้ทีมชาติโคลอมเบียในอนาคต หลังจากที่ได้รับการเทียบเชิญให้ไปร่วมซ้อมมาแล้ว

    วีแกน
    จอร์แดน มุสโต
    อายุ : 19 ปี
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์

    เติบโตมาจากเด็กฝึกของทีม ลิเวอร์พูล และเล่นในพื้นที่ฝั่งซ้าย ก่อนที่จะสอดแทรกขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เมื่อจบฤดูกาลที่ผ่านมา โรเบอร์โต้ มาร์ติเนซ หวังในตัวของ มุสโต เป็นอย่างมาก ที่เป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่ถูกดึงขึ้นมาจากทีมเยาวชน


    วูล์ฟแฮมป์ตัน
    จอห์นนี่ กอร์แมน (ไอร์แลนด์เหนือ)
    อายุ : 17 ปี
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์ตัวริมเส้น

    ถูกทางด้าน ไนเจล เวิร์ทธิงตัน กุนซือทีมชาติไอร์แลนด์เหนือยกให้เป็นอนาคตของชาติ และก็ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ไปแล้วในเกมพบกับ สโลวีเนีย และ อิตาลี ด้วยทำประตูได้จากลูกโหม่งทั้ง 2 เกม แม้อดีตเด็กฝึกจากอคาเดมี่ ของ แมนฯ ยูไนเต็ด จะติดทีมชาติไปแล้วถึง 3 นัดก็ตาม แต่ที่ วูล์ฟแฮมป์ตัน กอร์แมน ยังต้องเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ อีกมากมาย 


    นักเตะที่โชว์ฟอร์มดีของแต่ละทีม 

      อีกอึดใจเดียวเท่านั้นศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2013/14 บรรดาสโมสรต่างๆ ก็มีการซื้อขายยืมตัวนักเตะใหม่กันมากมาย แต่ไม่มีใครรู้ได้หรอกว่า นักเตะที่ดึงมาจะทำผลงานได้ดีแค่ไหนหรือจะเป็นแข้งเก่าที่โชว์ฟอร์มกระฉูดพาต้นสังกัดไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จจนกว่าจะจบฤดูกาลไปแล้วนั่นแหล่ะ วันนี้ผู้เขียนจึงขอรวบรวมนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของแต่ละสโมสรใน พรีเมียร์ลีก เมื่อซีซั่นที่แล้วว่า มีใครกันบ้างที่ทำผลงานให้กับทีมได้   

      
            - ซานติ กาซอร์ล่า (อาร์เซน่อล)
     - ตัวรุกทีมชาติสเปนเข้ามาปั้นเกมให้ "เดอะ กันเนอร์ส" ฤดูกาลที่แล้วเป็นปีแรก แต่ก็ปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็วและเค้นฟอร์มสุดยอดออกมาช่วยให้ "ไอ้ปืนใหญ่" คว้าตั๋วลุย แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้เหล่าบรรดาสาวก "กูนเนอร์ส" จึงเทคะแนนโหวตถึง 55.7 เปอร์เซ็นต์ ยกเพลย์เมกเกอร์เลือดกระทิงเทพที่สุดในซีซั่นที่แล้ว 



            - แบรด กูซาน (แอสตัน วิลล่า)
     - แม้ คริสติย็อง เบนเตเก้ จะพังตาข่ายได้ถึง 19 ลูกในลีก แต่จอมหนึบทีมชาติสหรัฐฯ ก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ "สิงห์ผงาด" รอดตกชั้นสำเร็จ โดยเสียแค่ 69 ประตูเท่านั้น!!! แต่ก็ยังชนะใจเพื่อนร่วมทีมและโหวตให้เขาเป็นแข้งแห่งปีจนได้ ส่วนดาวยิงทีมชาติเบลเยี่ยม ได้รางวัลนักเตะดาวรุ่งแห่งปีไปนอนกอดแทน 



            - มาร์ค ฮัดสัน (คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้)
     - ปราการหลังกัปตันทีม "เดอะ บลูเบิร์ดส์" เป็นหัวใจสำคัญในแนวรับอย่างแท้จริง เมื่อเฝ้าหลังบ้านให้ทีมอย่างแข็งแกร่งช่วยให้ทีมรักษาคลีนชีตได้ถึง 18 เกมใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ซีซั่นก่อน และเสียแค่ 45 ประตูเท่านั้น น้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของลีกเมื่อซีซั่นก่อน จนช่วยให้ยอดทีมจากเวลส์ รีเทิร์นลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปี 



            - ฆวน มาต้า (เชลซี)
     - หากไม่เจ๋งจริงจอมทัพร่างเล็กชาวสแปนิชคงไม่ได้รางวัลนี้ 2 ปีติดต่อกันแน่ เพราะนับตั้งแต่ย้ายจาก บาเลนเซีย มาอยู่กับทีมเมื่อปี 2011 มาต้า ก็ทำผลงานคงเส้นคงวาและเป็นตัวหลักของ "สิงห์บลูส์" ตลอดไม่ว่าใครจะเข้ามากุมบังเหียนทีมก็ตาม ซึ่งหากเจ้าตัวยังรักษาฟอร์มเก่งแบบนี้ได้ในซีซั่นหน้าภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ รางวัลแข้งยอดเยี่ยม "สิงโตน้ำเงินคราม" ครั้งที่ 3 คงไม่หนีไปไหน 



            - ไมล์ เยดินัค (คริสตัล พาเลซ)
     - ลืม วิลเฟร็ด ซาฮา ไปได้เลย เพราะนี่คือคนที่ปิดทองหลังพระของ "ดิ อีเกิ้ลส์" ตัวจริง เมื่อกองกลางตัวรับทีมชาติออสเตรเลีย มีทั้งความขยัน ทุ่มเท พร้อมปะทะกับคู่แข่งแบบไม่หวั่นเกรง จนได้ใจกุนซืออย่าง ดูกี้ ฟรีดแมน จนได้เป็นกัปตันทีม ซึ่งแม้ ฟรีดแมน จะหนีไปคุม โบลตัน วันเดอเรอร์ส ช่วงกลางซีซั่นก่อน แต่นายใหญ่คนใหม่อย่าง เอียน ฮอลโลเวย์ ก็ยังเห็นคุณค่าและหวังว่าดาวเตะวัย 28 ปี จะรีดฟอร์มช่วยให้ "ปราสาทเรือนแก้ว" อยู่รอดในลีกสูงสุดได้สำเร็จ 



            - เลห์ตัน เบนส์ (เอฟเวอร์ตัน)
     - หลายคนคงเดาได้ไม่ยากว่าต้องเป็นแบ็กซ้ายทีมชาติอังกฤษผู้นี้นี่เอง เพราะนอกจากจะเล่นให้กับ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ทุกนัดในลีกแล้ว ยังเป็นที่พึ่งของทีมในเรื่องลูกตั้งเตะได้อีกด้วย โชว์ฟอร์มเทพตลอดฤดูกาลแบบนี้ ทำให้ฟูลแบ็กวัย 28 ปี เหมารางวัลแข้งยอดเยี่ยมทั้งจากการโหวตของเหล่าสาวก "เอฟเวอร์โตเนียน" และเพื่อนร่วมทีม แล้วแบบนี้จะไม่ให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ดึงไปร่วมงานกับ เดวิด มอยส์ นายเก่าอีกครั้งได้อย่างไร 



            - ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ (ฟูแล่ม)
     - กองหน้าจอมเทคนิคที่เพิ่งมาอยู่ "กระท่อมน้อย" ได้ซีซั่นเดียว แต่ดาวยิงวัย 32 ปี ก็พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่า ยังไม่แก่เกินแกงและหมดไฟอย่างที่หลายคนคิด หลังถูกเขี่ยออกจากถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว ถึงสไตล์การเล่นอาจดูเชื่องช้าเกินไปสำหรับฟุตบอลอังกฤษ แต่ มาร์ติน โยล กุนซือของทีม เห็นพิษสงที่ยังมีอยู่ในตัวของอดีตหัวหอกทีมชาติบัลแกเรีย จึงจับ "เบิร์บ" มาเล่นในตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ซะเลย ถึงอย่างนั้นก็ยังพังตาข่ายได้ถึง 15 ลูกในลีก แบบนี้แฟนๆ จะไม่เทคะแนนให้ก็ใจร้ายเกินไปแย้ว 



            - อาเหม็ด เอลโมฮามาดี้ (ฮัลล์ ซิตี้)
     - ปีกทีมชาติอียิปต์ ที่กลายเป็นส่วนเกินของ ซันเดอร์แลนด์ เมื่อซีซั่นที่แล้ว จนถูกปล่อยให้มาค้าแข้งกับ "เดอะ ไทเกอร์ส" แบบยืมตัว และดูเหมือนว่านี่จะเป็นทีมที่ใช่สำหรับตัวเขา เมื่อวิงแบ็กวัย 25 ปี เค้นฟอร์มเก่งออกมาได้อีกครั้ง แม้จะยิงได้แค่ 3 ลูก แต่ก็จ่ายให้เพื่อนพังตาข่ายได้ถึง 9 ครั้ง จนช่วยให้ทีมคว้ารองแชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ และกลับมาคำรามในลีกสูงสุดอีกครั้ง ผลงานดีแบบนี้ จึงได้ใจแฟนบอลไปแบบไม่ยากเย็น 



            - หลุยส์ ซัวเรซ (ลิเวอร์พูล)
     - ถึงซีซั่นที่ผ่านมากองหน้าทีมชาติอุรุกวัยจะสร้างเรื่องให้ตัวเองต้องตกเป็นเป้าโจมตีของสื่อเมืองผู้ดีมากแค่ไหน วีรกรรมจะฉาวโฉ่เพียงใด แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ดาวยิงวัย 26 ปี คือหัวใจสำคัญของ "หงส์แดง" ตัวจริงในปีที่ทีมไม่ได้มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก เมื่อลั่นสกอร์ให้ หงส์แดง" ถึง 30 ประตูในทุกรายการ จนสาวก "เดอะค็อป" ลงคะแนนโหวตมากถึง 64 เปอร์เซ็นต์ เหนือกว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ เจมี่ คาร์ราเกอร์ สองแข้งลูกหม้อ ที่ได้อันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ แต่วันที่เจ้าตัวได้รางวัลนี้ มันเกิดขึ้นก่อนที่ ศูนย์หน้าเบอร์ 7 แห่งถิ่น แอนฟิลด์ จะขอย้ายทีมนะซิ แล้วตอนนี้แฟนบอล "หงส์แดง" จะยังรัก ซัวเรซ เหมือนเดิมหรือเปล่าน้า... 



            - ปาโบล ซาบาเลต้า (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) -
     ในปีที่อะไรก็ดูเหมือนจะไม่เป็นใจให้กับ "เรือใบสีฟ้า" แล่นฉิวลิ่วลมเหมือนฤดูกาลก่อนหน้า แต่ฟูลแบ็กทีมชาติอาร์เจนติน่า คือคนที่แฟนบอลเห็นว่า โชว์ฟอร์มแกร่งได้สม่ำเสมอมากที่สุด เพราะเขาคือหัวใจในเกมรับของ ซิตี้ อย่างแท้จริง ทั้งเติมเกมบุก เฝ้าหลังบ้าน ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ต่อให้ "เดอะ ซิตี้เซ่นส์" ซื้อ ไมค่อน มาจาก อินเตอร์ มิลาน แต่กองหลัง "ฟ้า-ขาว" ก็ยังรักษาตำแหน่งตัวจริงไว้ได้อย่างเหนียวแน่น หากวันไหน แว็งซ็องต์ ก็องปานี ไม่อยู่ ซาบาเลต้า คือคนที่ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ความดีความชอบเพียบแบบนี้ ได้ใจแฟนบอลไป 68 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว 

    วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556


    แนะนำนักเตะ  :  Daniel Nii Tackie Mensah Welbeck


    welbeck ถือเป็นนักเตะที่มากจากทีมเยาวชนของ แมนยู 


    จากอายุและช่วงเวลายังสามารทำให้ ตัวเวลเเบคเอง สามารถพัตฒนาได้อีก 


    ดังนั้นเขาอาจได้ก้าวมาเป็นตำนานคนต่อไปของแมนยู ก็ได้



    Danny Welbeck 20120611.jpg





    แดนนี เวลเบก
    ข้อมูลส่วนตัว
    ชื่อเต็มDaniel Nii Tackie Mensah Welbeck
    เกิด26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1990 (22 ปี)
    เกิดที่ลองสไตสร์, แมนเชสเตอร์ยู อังกฤษ
    สูง1.85 เมตร (6.1 ฟุต)
    ตำแหน่งกองหน้า
    ข้อมูลสโมสร
    สโมสรปัจจุบันแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
    หมายเลข19
    ชุดเยาวชน
    2005–2008แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (เยาวชน)
    ชุดใหญ่*
    ปีทีมลงเล่น(ประตู)
    2008–แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด64(17)
    2010พรีสตันนอร์ทเอนด์ (ยืม)9(3)
    2010–2011→ ซันเดอร์เเลนด์ (ยืม)26(7)
    ทีมชาติ
    2006–2007อังกฤษ 17 ปี11(2)
    2007–2008อังกฤษ 18 ปี2(2)
    2008–2009อังกฤษ 19 ปี8(2)
    2009–อังกฤษ 21 ปี14(5)
    2011–อังกฤษ 2(0)

    แดเนียล นีอี แทกคี เมนซาห์ "แดนนี" เวลเบก (อังกฤษ: Daniel Nii Tackie Mensah "Danny" Welbeck) เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1990 ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นอยู่กับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ เขาเล่นตำแหน่งกองหน้าตัวกลาง ที่สามารถเล่นปีกได้ด้วย
    เวลเบก เล่นฟุตบอลในทีมเยาวชนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก่อนที่จะก้าวสู่ทีมรุ่นใหญ่ เปิดตัวในปี ค.ศ. 2008 เขาถูกยืมตัวไปสโมสรฟุตบอลพรีสตันนอร์ทเอนด์ จากนั้นเป็นสโมสรซันเดอร์เเลนด์
    ในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติ เวลเบกเป็นตัวแทนนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ อายุไม่เกิน 16 ปี, อายุไม่เกิน 17 ปี, อายุไม่เกิน 18 ปี, อายุไม่เกิน 19 ปี, อายุไม่เกิน 21 ปี และทีมรุ่นใหญ่ เขาลงเล่นในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติรุ่นใหญ่ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2011 ในนัดกระชับมิตรที่เจอกับฟุตบอลทีมชาติกานา เสมอ 1–1



    ไนกี้ Nike ได้เปิดตัว รองเท้าสตั๊ด Nike Mercurial Veloce FG  รองเท้าฟุตบอล ที่มีสีสันสดใส โดย ทาง 

    Nike ได้ทำมาในโทนสีเขียว - ส้ม โดยใช้สีเขียวเป็นสีพื้น แล้วใช้สีส้มมาเป็นสีโทน สำหรับแฟนของ Nike ไม่ควรพลาด

    อย่างแน่นอน




    รองเท้าสตั๊ด รองเท้าฟุตบอล Nike Mercurial Veloce FG
    Volt/Black/Bright Citrus ตัวรองท็อป สีเหลือง/ส้ม
    ราคาป้าย 4300  





      • Family: Mercurial
      • How Attached To Upper: Cemented
      • Insole Material: EVA foam
      • Insole Removable: yes
      • Lacing: Central
      • Outsole Material: TPU
      • Primary Upper Material: Synthetic
      • Stud Material: PU
      • Stud Shape: Bladed
      • Studs Removable: no
      • Suitable For: Firm Natural Surfaces
      • Weight: 7.8 oz.
    




    รองเท้าฟุตบอล Adidas F50 Messi 2013 

    รองเท้าของมนุษย์ดาวอังคาร เมสซี่ ปี2013 เป็นรองเท้าสายสปีดที่ออกแบบใหม่

    ให้รูปทรงโฉบเฉี่ยว และมีลายกราฟฟิคเท่ ดูมีสเน่ห์มากครับ

    หนัง    - ใส่วัสดุเป็นหนังสังเคราะเพื่อความเบาครับ เบาเกีอบเท่าตัวแท้เลยครับ

    พื้น     - เป็นรุ่นที่เน้นความเร็ว ทำพื้นออกมาเหมือนแท้แบบ 100% เลยครับ

    สรุป   -เป็นรองเท้ารุ่นหนึ่งที่เนียนจนแยกของแท้ของเทียมไม่ออกจริงๆ และที่สำคัญ

    คือน้ำหนัก รุ่นนี้มาแบบเบามากแบบผิดหูผิดตา เพราะเนื่องจากรุ่นก่อนนี้อาจใช้

    วัสดุที่เป็นหนังเลยน้ำหนักมากกว่า แต่ใครที่ชื่นชอบความเบา แบบเอาเร็วเข้าว่า

    ได้ตัวนี้ไปลองใส่รับรองว่าไม่ผิดหวังครับ ยิ่งเป็นรุ่น MESSI EDITION ด้วยแล้ว

    รับรองเลยว่าสวยสุดๆทีเดียวครับ




    เสื้อฟุตบอลอาร์เซอร์นอล Nike Arsenal ฤดูกาล 2012/2013ชุดเหย้า 



    • Model Year: 2011-2012
    • Made In: Imported
    • Back Graphic: no
    • Country and League: England - Premier League
    • Material: Polyester
    • Replica Or Authentic: Replica
    • Type of Sponsor Logo: screened





    Size เสื้อ (size ต่างประเทศ)
    Size
    หน้าอก
    ช่วงเอว
    ความยาว
    S
    35" - 37"
    28" - 31"
    5'7" - 5'9"
    M
    38" - 40"
    31" - 34"
    5'9" - 5'11"
    L
    41" - 43"
    33" - 36"
    5'11" - 6'1"
    XL
    44" - 46"
    35" - 38"
    6'1" - 6'3"